มาตรา ๑๕๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตามมาตรา 157 แบ่งได้ 2 ฐานคือ 1. ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด 2. ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตทั้งสองฐานความผิดจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ 1. เป็นเจ้าพนักงาน 2. ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ คำพิพากษาฎีกาที่ 3135/2535 ความผิดตาม ป. อ. มาตรา 157 จะต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติซึ่งอยู่ในหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริต ถ้าเป็นการกระทำนอกหน้าที่ไม่ผิดมาตรานี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นอันยุติได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวกับคดีที่คนร้ายลักกระบือของผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 กับการปล่อยคืนรถยนต์ให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายที่ 1 จึงเป็นเรื่องปฏิบัตินอกหน้าที่ ไม่เป็นความผิดตาม ป.
พัฒนาเวปไซต์ โดย: นางปฤษณา อรรถเวทิน, นายนคร เจือจันทร์ กลุ่มกฎหมายและคดี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ที่ตั้ง 197 หมู่ที่ 20 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ 32000 มือถือ. 08 8586 1801 โทรสาร. 044 713465
มาตรา 157 คำพิพากษาฎีกาที่ 3509/2549 จำเลยซึ่งเป็นพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัท ส. และ ป. ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทโจทก์ ทั้งที่หนังสือพิมพ์ ด. ซึ่งบริษัท ส. เป็นเจ้าของและ ป. เป็นบรรณาธิการ ลงข้อความในหนังสือพิมพ์เป็นความเท็จ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เป็นการใช้ดุลพินิจที่มิได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล แต่เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ จึงเกินล้ำออกนอกของเขตของความชอบด้วยกฎหมายและในฐานะที่จำเลยเป็นข้าราชการอัยการชั้นสูง จำเลยย่อมทราบดีถึงเกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดของพนักงานอัยการ การใช้ดุลพินิจผิดกฎหมายในกรณีนี้ จำเลยเห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่าเป็นการมิชอบและมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งเพื่อจะช่วยบริษัท ส. มิให้ต้องโทษจากการกระทำความผิดของตนอีกด้วย จำเลยจึงมีความผิดตาม ป. มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคหนึ่งบางคนก็โต้แย้งว่า การกระทำใดๆ ที่กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจกระทำ แต่กระทำการที่นอกเหนือที่กฎหมายให้อำนาจ ถือว่า เป็นการนอกหน้าที่ ไม่เป็นการกระทำผิดหน้าที่ กล่าวง่ายๆ ว่า "เมื่อไม่มีอำนาจ ก็ไม่มีหน้าที่ จึงไม่ผิดมาตรา 157" เช่น พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบในความผิดมาตรา 157 ของข้าราชการการเมือง แต่ไปการสอบสวนผู้ต้องหาในความผิดมาตรา 157 จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 157 ดังนี้ ข้ออ้างดังกล่าวจะฟังขึ้นหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4170/2530 การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสรรพากรจังหวัดสั่งให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 3 เสนอสำนวนการตรวจสอบภาษีอากรของห้าง จ.
ต. ทวี สอดส่อง" ส. ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาชาติ เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดี อท. ที่ 114/2562 ระหว่าง "พล. ท. สมคิด บุญถนอม" ยื่นฟ้อง "พ. ทวี สอดส่อง" อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), "พ. สุชาติ วงศ์อนันตชัย" หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และ "พ. เบญจพล จันทวรรณ" พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งหมดในตำแหน่งขณะนั้น รวม 3 คน เป็นจำเลยในความผิดต่อหน้าที่ คำร้องของ "พล. สมคิด" ระบุพฤติการณ์โดยสรุปไว้ว่า เมื่อปี พ. ศ. 2552 พ. ทวี อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กับพวกรวม 3 คน ปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน คดีพิเศษ ที่ 4/2547 ได้ร่วมกันสอบสวนดำเนินคดี "พล. สมคิด กับพวก" รวม 5 คน เป็นผู้ต้องหา กล่าวหาว่า ร่วมกันฆ่า "โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี" นักธุรกิจชาวซาอุฯ ที่เป็นคดีดัง โดยสอบสวน พ. สุวิชชัย หรือ อัคควุธ แก้วผลึก เป็นพยาน พร้อมอ้างแหวนทองวัตถุพยาน ของกลาง เป็นพยานหลักฐานใหม่ เพื่อสอบสวนรื้อฟื้นดำเนินคดี พล. สมคิด กับพวก ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานที่จะรับฟังได้ว่า ผู้ต้องหากับพวกร่วมกันกระทำความผิด อีกทั้งในการสอบสวนพยาน ทั้งที่เป็นจำเลยหลบหนีหมายจับตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอุทธรณ์ (จังหวัดมีนบุรี) ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ในคดีร่วมกันฆ่า นายฉัตรดำรงพรรณ ไชยเฉลิมภัค เชื้อพระวงศ์ลาว โดยมีพฤติการณ์ส่อว่า จูงใจ ต่อรองเพื่อให้พยานกลับคำให้การ จากเดิมเป็นพยานบอกเล่าไม่เห็นเหตุการณ์ เปลี่ยนเป็นกลับคำให้การว่า เห็นเหตุการณ์ ขณะที่ผู้ต้องหากับพวกกระทำผิด พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง พล.
เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์ อดีตอธิการบดี ม. เกษตรฯ ยื่นคำร้อง "ผบ. ตร. "
ทวี สอดส่อง" จำเลยที่ 1 กับพวกเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษคดีอุ้มฆ่า "โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี" นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย สอบสวนดำเนินคดีผู้ต้องหา โดยนำ "พ. สุวิชชัย แก้วผลึก" มาสอบสวนเป็นพยาน มีพฤติการณ์จูงใจ ต่อรองเพื่อให้กลับคำให้การ และนำพยานไปยื่นคำร้องขออนุญาตศาลสืบพยานก่อนฟ้อง ทั้งที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายเป็นการเอาเปรียบผู้ต้องหาไม่ให้มีโอกาสต่อสู้คดี ทำให้ได้รับความเสียหาย และกล่าวหาดำเนินคดีทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหากับพวกน่าจะได้กระทำผิดตามข้อหานั้น จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้อง "พ. ทวี สอดส่อง" กับพวกรวม 3 คน รวม 4 กระทงความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นพนักงานสอบสวน เจ้าพนักงานที่มีอำนาจสืบสวน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคสอง ไว้พิจารณาต่อไป พร้อมนัดสอบคำให้การจำเลยทั้ง 3 เพิ่มเติมและกำหนดนัดสืบพยานในวันที่ 6 พ. 65 เวลา 09. 00 น. นี่เรียกว่า เป็นเรื่องของการกระทำในอดีตไล่ล่า พ.
ส. พะเยา พรรคเศรษฐกิจไทย กับนายกฯนั้น "ลุงป้อม" บอกไม่มีอะไร ที่ผ่านมา เหมือนมีภาพของการทะเลาะกันนั้น เป็นเพราะสื่อพยายามที่จะให้เขาทะเลาะกัน แถมยังโยงมาให้ตนเอง ทะเลาะกับนายกฯด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีปัญหาอะไรกันเลย ด้าน "ลุงตู่" ผู้มีอำนาจตัวจริงในการยุบสภา กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนด... "พล. ประวิตร ท่านเป็นคนพูด และท่านได้ชี้แจงให้ผมทราบแล้ว โดย พล.
ข่าวปนคน คนปนข่าว **"ลุงป้อม" มองข้ามช็อต ส่งสัญญาณยุบสภาปลายปี หลังประชุมเอเปก หลังดินเนอร์กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อสัปดาห์ก่อน และนัดพรรคเล็ก พรรคจิ๋ว ไปจิบกาแฟ รับประทานอาหารว่าง ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เมื่อสองวันที่ผ่านมา ทำให้ "ลุงป้อม" พล. อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และผู้จัดการรัฐบาล มั่นใจในเสียงสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล ว่า ไม่มีปัญหาแน่ ไม่ว่าจะฝ่าศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ฝ่ายค้านจองกฐินไว้แล้ว ว่า จะมีขึ้นในเดือน พ. ค. สมัยประชุมหน้า... การพิจารณากฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง... กฎหมายการเงินที่สำคัญๆ รวมทั้ง ร่าง พ. ร. บ. งบประมาณ 2566 จะผ่านฉลุย เพราะทั้งพรรคร่วม และพรรคเล็ก ทุกคนโอเค ที่จะให้การสนับสนุนรัฐบาล "ลุงป้อม" มองข้ามช็อต ถึงกับประกาศแทน "ลุงตู่" พล. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า จะยุบสภาในช่วงปลายปี หลังการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก ในเดือน พ. ย. โดยให้เหตุผลว่า หลังการประชุมเอเปกแล้วรัฐบาลก็จะว่าง จึงเหมาะที่จะยุบสภาในช่วงนั้น ส่วนจะยุบ หรือไม่ยุบนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี สำหรับปัญหาระหว่าง "ร. ธรรมนัส พรหมเผ่า" ส.